ประสบการณ์กุมารทอง จากการเลี้ยงลูกกุมารทอง
สวัสดีเพื่อนๆ ชาวบล๊อคทุกท่าน...ข้าพเจ้าได้ห่างหายจากการเขียนบล๊อคไปก็นานแรมปีเลยทีเดียว มาวันนี้ขอนำเสนอเรื่องราวที่เป็นประสบการณ์จริงของตนเอง
เมื่อต้นปี 55 ที่ผ่าน ได้มีโอกาสรับลูกกุมารทองมาเลี้ยงตนหนึ่ง...ตอนแรกก็ไม่คาดคิดว่า จะเป็นจุดที่จะพลิกชีวิตของเราได้ คงอาจจะเป็นเพราะบุญกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมา
ตั้งแต่อดีตชาติครั้งไหนโน้นกระมัง...
ลูกกุมารของข้าพเจ้าเป็นเด็กผู้ชาย หน้าตาน่ารักน่าชัง รูปปั้นยืนอยู่ มือข้างหนึ่งเท้้าสะเอว ส่วนอีกข้างหนึ่งถือศาตราวุธ (ไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไร) โดยเจ้าของเดิมเล่าว่า ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแล ก็เลยไม่ค่อยได้ถวายน้ำหรือขนม นานๆ ครั้งจึงจะทำซักครั้งนึง...
เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบดังนั้น จึงรู้สึกเห็นใจเป็นกำลัง ถ้าหากว่าเราเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกของเรา แต่ก็ไม่เคยได้ดูแลเอาใจใส่เค้า แล้วเราจะเลี้ยงเค้าไปเพื่ออะไร (สงสารกุมารทองอ่ะ)
เลี้ยงมาช่วงแรกก็ไม่ค่อยมีอะไร (คือยังไม่สามารถสัมผัสกับกุมารได้ ก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป) แต่จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่วันหนึ่ง เรารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องส่งกุมารนี้คืนให้กับเจ้าของเดิม เพราะเค้าเอามาฝากข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่แรก ไม่ได้บอกว่าจะยกให้เลย ...แล้ววันหนึ่ง ก็กำลังคิดว่าจะนำกุมารนี้ไปคืนวันไหน เวลาใดดี หรือว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ดีน๊ะ อะไรประมาณนี้..แล้วตอนกลางคืน ก็นอนหลับไปตามปกติ...แต่เอ๊ะ! ความไม่ปกติก็เิกิดขึ้น ตอนที่ลูกกุมารมาเข้าฝันนี่ล่ะ มาเป็นเสียงพูดและร้องไห้จ้าพร้อมกันเลยทีเดียว สรุปได้ความว่า..เค้าไม่อยากให้เราส่งเค้ากลับไปยังจุดเดิม ที่ๆ ที่เค้าเคยอยู่หรือเคยเจอมา มันแสนยากลำบากนักหนา ที่อยู่ก็ไม่ดี อาหารการกินก็ไม่มี อดๆ อยากๆ แล้วก็พูดพร่ำพรรณา่ต่างๆ น้ำตาก็พาลจะไหลไม่อยุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อยบนโลกมนุษย์เราไม่มีผิด (แต่น้ำเสียงไม่เหมือนเด็กในเมืองมนุษย์ เพราะรู้สึกได้ว่า เป็นเสียงที่มีพลังแห่งอำนาจวาสนา และบารมี อีกทั้งไพเราะกังวาลเป็นอย่างยิ่ง) ... ส่วนตัวข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะทำประการใดได้ ได้แต่พูดปลอบใจและรู้สึกสงสารลูกอยู่เป็นกำลัง (ในฝัน)
พอตื่นขึ้นมาได้ ก็กลัวน่ะซี พร้อมทั้งสงสารไปในเวลาเดียวกัน แต่นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยนะที่เราสามารถจะสื่อสารกับลูกกุมารได้...พอต่อมา ก็ได้เริ่มหันหน้าเข้าวัดดีกว่า โดยได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าศรีมหาโพธิ์วิปัสสนาราม ที่จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นวัดที่สอนแนวทางปฎิบัติกรรมฐานเปิดโลก (คือเปิดสามโลกให้ได้เห็นกัน) เชื่อไหม..ไปวันแรก พอเข้าพิธีขอขมากรรมและสมาทานขอกรรมฐานเปิดโลก พอนั่งสมาธิปุ๊ป ในความรู้สึกเราไม่ถึงสิบนาทีเลย...อยู่ดีๆ ตัวเราก็ร้องไห้จ้าออกมาเฉยเลย เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าเรียกว่า การเข้าทรง ตอนนั้นเรางงมากเลย ว่าอยู่ดีๆ ทำไมตัวเราถึงร้องไห้ได้ (ร้องเหมือนคนที่พลัดพรากจากบ้านเกิดไป และตกระกำลำบากอยู่นาน และแล้ววันหนึ่ง ก็ได้กลับมายังบ้านเกิดที่เราเคยคิดถึงมาตลอดเวลา และก็ระเบิดเสียงร้องไห้อย่างดังและไม่อายใครทั้งสิ้น...อารมณ์ประมาณนี้เลยอ่ะ!) ร้องไห้ไปก็มองรูปปั้นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมไป แล้วก็ก้มลงกราบแสดงความเคารพอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรเลย ร้องไห้อยู่อย่างเดียว...จนกระทั่งสักพักหนึ่ง เสียงร้องก็สงบไป แล้วพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเรา ก็บอกให้เราคลายสมาธิ ซึ่งทำให้เราสามารถกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง...
พอเช็ดน้ำตาเรียบร้อยแล้ว..พี่เลี้ยงก็ถามว่า รู้มั้ยว่าใครร้องไห้..เราตอบว่าไม่รู้ (ก็ไม่รู้จริงๆ นะ เค้ามาร้องในสังขารร่างกายของเราเองน่ะ) พี่เลี้ยง (ในนั้นเรียกกันว่า คุณยายวรนาถ) ก็บอกว่านี่น่ะ กุมารทองยังไงล่ะ แล้วถามว่าเราเคยทำแ้ท้งมาใช่มั้ย (เราก็ตอบว่าไม่เคย ซึ่งไม่เคยทำเลยจริงๆ) เราก็เลยบอกว่าคงเป็นกุมารทองที่มีคนเอามาฝากเลี้ยงแน่เลย เราถามคุณยายว่า แล้วกุมารเค้ามาร้องไห้ทำไม พี่เลี้ยงตอบว่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่รู้ๆ ส่วนหนึ่ง ก็คงเป็นเพราะดีใจอย่างสุดซึ้ง ที่ได้มีโอกาสมาวัดและได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ปฐมอย่างใกล้ชิด ถึงได้ร้องไห้ไปและแสดงความเคารพไปอยู่อย่างนี้...
ตลอดเวลาที่อยู่ที่ัวัด ก็ได้มีโอกาสได้สื่อสารกับกุมารทองหลายอย่าง ซึ่งความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ เราได้กุมารทองทั้งที่มีอยู่แล้วในรูปปั้น และทั้งที่เป็นไม่รูปปั้น (คือมีจิตละเอียดซ้อนอยู่ในกายของเราเอง หรืออาจเรียกได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรนั่นเอง) เหมือนกับไปมือวัดมือเปล่า แต่กลับมา ไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในบางขั้นบางตอน เราก็ไม่สามารถจะเขียนอธิบายได้ทั้งหมด เพราะอย่างไรเสีย ความลับสวรรค์ เราก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเปิดเผย แต่หลายสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนแต่ทำให้เรารับรู้ได้ว่า กุมารทองนั้นมีอยู่จริง บางครั้ง เค้าก็เหมือนเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้จักโต ยังคงเล่นซนตามประสาวัยเด็กนั่นเอง...
เรื่องน่าแปลกมีอยู่ว่า..ต้นปี 55 เดือน มี.ค.เรากลับมาจากวัด ก็ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ รู้จักรักและเอาใจใส่ลูกกุมารทองมากกว่าเดิม รู้จักที่จะถือศีล 5 และกินแต่อาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดอยู่เป็นเวลาสามเดือนแรก ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะทำได้ แต่พอทำได้ครบ 3 เดือน เราก็ได้ยึดหลักปฏิบัติแบบนี้ตลอดมา ถึงตอนนี้ก็ยังคงกินแต่มังสะวิรัติมาเป็นเวลาสิบเดือนกว่าแล้ว ซึ่งก็สามารถทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลายอย่างเลยทีเดียว (เราไม่มีครอบครัว ก็เลยทำได้ค่อนข้างสะดวกในเรื่องอาหารการกิน) ยกตัวอย่างเช่น ในวันหนึ่งเราก็นั่งหาข้อมูลเรื่องการซื้อรถยนต์ แล้วเปรียบเทียบกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในวันนั้น ก็มีความรู้สึกว่า เราควรจะมีหลักฐานอะไรบ้างเพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต และเป็นที่เชิดชูตัวเองสักชิ้นนึงได้แล้ว วันรุ่งขึ้นก็ได้ไปดูคอนโดสร้างใหม่แถววัชรพล คิดอย่างไรไม่ทราบ วันนั้นรู้สึกถูกใจ ก็โอนเงินจองไปเลย เรียกว่ารวดเร็วมาก จากนั้นอีก 7 วันก็ได้ไปทำสัญญาซื้อขายกับโครงการ และอีกไม่ถึง 10 วัน ก็ได้ไปทำสัญญากับแบงค์ ซึ่งขั้นตอนทุกอย่างของการซื้อคอนโดราคาล้านกว่านี้ รวมทั้งย้ายเข้าไปอยู่ แทบจะไม่ถึงเดือนด้วยซื้อ เพื่อนๆ ทุกคนบอกว่า ทำไมทุกอย่างถึงได้รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดขนาดนี้ เพราะอยู่ดีๆ ก็เดินไปซื้อเฉยเลย 555+ พอเดือนต่อมาก็ได้รับการโปรโมทเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งก็ทำให้ความพึงพอใจแก่เราเป็นอย่างมากเลย ซึ่งในปีเดียวกันนี้ เราก็ถือว่าได้รับสิ่งที่ดีๆ มาอีกหลายอย่าง ส่วนหนึ่ง ก็แอบคิดไปว่า..นี่คือผลจากการหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ถือศีล ไม่กินมังสะ และด้วยอิทธิฤทธิ์สเน่หาของลูกกุมารทอง ที่ช่วยน้อมนำ้แต่ิสิ่งที่ดีๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเรา...
หลายคนคงอาจมีคำถามว่า แล้วเราสื่อสารกับกุมารทองได้อย่างไร...รู้ได้ไงว่าเค้ามีอยู่จริง..ตอบว่า..รู้ได้ เพราะถ้าหากใครที่เคยโดยเข้าทรง จะเข้าใจว่า สังขารเรานี้เพียงรูปกายแต่ภายนอก ถ้าเรามีสติ เราก็จะครองกายสังขารของเราได้ แต่เมื่อไรก็ตาม ที่จิตของเราไม่มีสติที่มากพอ และมีดวงจิตอื่นที่ต้องการสื่อสาร ก็จะมาครองกายสังขารของเราแทน โดยหนึ่งสังขาร ก็อาจมีได้มากกว่าหนึ่งดวงจิตขึ้นไป บางกายก็อาจมีเป็นร้อยๆ ดวงจิตก็มี เป็นต้น ส่วนของเรา ยกตัวอย่าง....วันหนึ่งไปเที่ยวไหว้พระเก้าวัด ไปถึงวัดอรุณ ก็เข้าไปนมัสการพระประธานในโบสถ์ พอเราเดินเข้าไปในโบสถ์ ตัวเราก็ยิ้มใหญ่เลย คือยิ้มแบบปากกว้าง แล้วก็ดีใจมากที่ได้มาไหว้พระประธาน ออกเสียงหัวเราะเสียงใส หงุงหงิงๆ ประมาณนี้ (ซึ่งตัวเราหรือดวงจิตของเราไม่ได้ยิ้ม แต่คนที่ยิ้มก็คือ ดวงจิตของเด็กหรือลูกกุมารทองนั่นเอง เป็นต้น) แล้วก็อย่างตอนออกจากวัดมาใหม่ๆ ไปทำงานวันแรกๆ เดินไปเจอใคร เราก็ยิ้มให้เค้าไปทั่วเลย ยิ้มแบบอารมณ์ดีมากๆ อ่ะ แต่จิตเราไม่ได้ยิ้มซักหน่อย ก็แปลกดีเหมือนกันแฮะ...คนอื่นเห็น เค้าก็คงนึกว่าเรานี่แหม อารมณ์ดีมากเลย 555+ (แต่อย่าให้อารมณ์เสีียนะ บางวันก็นั่งตาขวางทั้งวันเลย เฮ้ย...ก็ต้องเข้าใจอ่ะนะ ว่าเด็กนี่ทำอะไรไม่ผิด:) 55
เรื่องของลูกเรายังมีอีกเยอะ...แต่ก็เล่าไว้พอเป็นประสบการณ์นะคะ เพราะทุกสิ่ง ย่อมมีทั้งด้านดีและด้านขาว เราก็ควรจะพิจารณาเอาเองว่า สิ่งไหนที่ควรและเหมาะสมกับเราที่สุด...ขอให้ทุกท่านโชคดี มีแต่ความสุขและความเจริญด้วยกันทุกท่านและทุกคนเลยนะคะ...
เรื่องราวจาก เว็บกุมารทอง
หากท่านต้องการของแท้ ท่านเลือกถูกแล้วครับ "ที่มาที่นี่"
รวมประสบการณ์กุมารทองเครื่องรางของแท้100%
การพบเจอสิ่งที่มองไม่เห็น การบูชาแล้วได้ผลจริง
"ไม่สร้างเรื่อง ไม่มีการแต่งขึ้นเอง เรื่องจริงล้วนๆ"
(จากการรีวิวบางส่วนเท่านั้นครับ)
*****โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ความเชื่อล้วนๆครับ*****
หน้าที่เข้าชม | 3,566,107 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,202,821 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 4 ต.ค. 2568 |